“ณ จุดนี้ ผมยอมให้คุณต่อยผมให้ร่วงได้เลย เพราะตอนนี้เขาแม่งเต็มศักยภาพของตัวเองได้สุดยอดจริงๆ”
ประโยคข้างต้นนี้ คือคำสารภาพของ โทนี่ พูลิส หลังจบเกมที่ เซิร์จ กนาบรี้ เหมารัว 4 ประตู พา บาเยิร์น มิวนิค ไล่ขยี้ ท๊อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ไป 7-2 ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มเมื่อเดือน ต.ค. ของปีที่แล้ว
นั่นช่างเป็นอะไรที่สวนทางกับคำพูดของเขาเมื่อปี 2015 ที่เคยตำหนิดาวเตะเลือด “ด๊อยช์ทลันด์” ตอนคุม เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนส์ ด้วยคำพูดสั้นๆ ที่ทิ่มแทงว่า “ฝีเท้าของเขายังระดับชั้นไม่ถึงกับทีมผม”
ถึงตอนนี้ พูลิส คงไม่มีอะไรจะเถียง เพราะ กนาบรี้ ได้แปรสภาพจากผู้ล้มเหลวใน พรีเมียร์ลีก กลายเป็นแข้งตัวท๊อปของ แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแล้วเรียบร้อย
เส้นทางค้าแข้งของ เซิร์จ กนาบรี้ ตลอดการทำหน้าที่อาชีพรัก
จากที่เคยไม่ดีพอกับทั้ง อาร์เซน่อล และ เวสต์บรอมวิช เส้นทางอาชีพของ กนาบรี้ เริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้างที่ เบรเมน ก่อนจะได้กลับไปพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งกับพลพรรค “เสือใต้” ตามปกติแล้ว เราจะสังเกตดาวรุ่งสักคนว่า “รุ่งหรือร่วง” นั้น เราจะเห็นแววได้ตั้งแต่อายุแถวๆ 17-22 ปี แต่ปีกผิวสีชาวเยอรมัน รายนี้ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาก็ต้องรออายุเกือบ 24 อยู่แล้ว
หลังจากที่ได้ลงไปแค่ 12 นาทีให้ เวสต์บรอม และถูกส่งตัวกลับภายในเวลาแค่ 6 เดือน แต่ชีวิตของ กนาบรี้ เริ่มส่งสัญญาณฟื้นในทัวร์นาเมนต์ โอลิมปิก 2016 ที่ ริโอ ซึ่งทัพลูกหนัง เยอรมัน จัดการคว้าเหรียญเงินมาครอบครอง โดยเขารั้งตำแหน่งดาวซัลโวร่วม
ผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ อาร์เซน่อล มีความพยายามที่จะต่อสัญญา กนาบรี้ ออกไปอีก แต่ก็ไม่สมหวัง เนื่องจากดาวเตะรายนี้เบื่อหน่ายเต็มทีกับโอกาสการลงสนามที่จำกัดจำเขี่ย และเขายืนยันว่าต้องการความเปลี่ยนแปลง
การตัดสินใจครั้งนั้น ได้กลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต เพราะ กนาบรี้ จัดการระเบิดฟอร์มร้อนฉ่ากับ “นกนางนวล” ภายใต้การคุมทีมของ อเล็กซานเดอร์ นูรี โดยยิง 11 ประตู จากการลงสนาม 27 นัดใน บุนเดสลีกา พาทีมจบอันดับ 8
สเตปต่อมาก็คือการโดน โยอัคคิม เลิฟ เรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ และเปิดตัวหรูหราด้วยการกดแฮตทริคใส่ ซาน มาริโน่ ทันที
กนาบรี้ ใช้เวลาอยู่ถิ่น เวเซอร์ ไม่ถึง 12 เดือนเต็ม เขาก็โดน บาเยิร์น มิวนิค เคาะประตูเรียกด้วยความรวดเร็ว โดยจ่ายค่าฉีกสัญญาที่โคตรถูกระดับ 8 ล้านยูโร เท่านั้น
แม้เขาจะเริ่มต้นชีวิตที่ถิ่น บาวาเรีย ด้วยการถูกส่งตัวยืนไปอยู่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ แต่กราฟชีวิตของเจ้าตัวก็ไม่เจอกับความตกต่ำอีกต่อไป เพราะดาวเตะจอมพลังยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างไฉไล พาทีมของ ยูเลี่ยน นาเกลสมันน์ จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ตีตั๋วไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า กนาบรี้ ต้องการเก็บชั่วโมงบินเพื่อพัฒนาฟอร์มไปสู่โสดาบัน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะทันทีที่เขากลับมาสวมเสื้อ บาเยิร์น อีกครั้ง เขาก็กลายเป็นปีกตัวฉกาจตัวท๊อปของ บุนเดสลีกา ไปแล้วเรียบร้อย
ถ้าไม่กล้าเสี่ยงย้ายออกจาก อังกฤษ ในวันนั้น มันก็คงไม่มี เซิร์จ กนาบรี้ อย่างที่เห็นในวันนี้ แม้จะเคยล้มเหลวที่ อาร์เซน่อล แต่ความผูกพันดีๆ ที่มีต่อทีมสีแดงจาก นอร์ท ลอนดอน รายนี้ ยังคงสวยงาม เพราะทันทีที่เหมาหวด 4 ประตู ใส่ สเปอร์ส เจ้าตัวก็รีบโพสต์ข้อความในโลกโซเชี่ยลหลังจบเกมว่า “ลอนดอน อีส เร้ด”
ชื่อของ กนาบรี้ กลายเป็นปีกที่กองหลังหลายๆ คนครั่นคร้าม โดยเฉพาะทีมจากอังกฤษ ที่ล่าสุดก็มีหลักฐานว่า เชลซี ได้กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของดาวเตะรายนี้อีกครั้ง หลังเหมาหวด 2 ประตู ในเกมที่บุกชนะ “สิงห์บลูส์” ถึงถิ่น ในรอบ 16 ทีม นัดแรก บิ๊กเอียร์
นักฆ่าทีมจาก พรีเมียร์ลีก หลายๆ คนพูดกันแบบนั้น! รสชาติอันหอมหวานของแต่ละคนอาจมาไม่พร้อมกัน แต่สิ่งที่เป็นอมตะและจะยังคงเป็นแบบนั้นก็คือ เมื่อวันนั้นมาถึง มันจะยังคงหอมหวานสุดใจอยู่เสมอ และนักเตะที่ชื่อ เซิร์จ กนาบรี้ ก็คงไม่หยุดตัวเองอยู่เพียงแค่นี้แน่นอน
ทั้งเราก็ต้องติดตามความฟิตของ เซิร์จ กนาบรี้ ต่อไปว่าจะสามารถระเบิดฟอร์มต่อไปอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ นอกจากข่าวฟุตบอลของแข้งชื่อดัง เรายังรวบรวมสถิติ 5 ดีลสลับขั้ว นักเตะ สุดทึ่ง ที่คุ้มกับทีมให้ได้อ่านกัน หรือการจัดอันดับ 11 แข้งทองคำ ที่โกยถ้วยแชมป์มากที่สุดในวงการลูหนัง เพื่อให้ได้ชื่นชมนักเตะคนโปรดของท่านได้นั้นเอง
อ่านข่าวแล้วคงเบื่อลองเข้ามาเล่น เกมยิงปลา กับเว็บพนันออนไลน์ที่ดีที่สุด มีความน่าเชื่อถืออย่าง คาสิโนออนไลน์ เครดิตฟรี ยิ่งเล่นยิ่งได้ รับรองว่าคุณจะได้ประสบการณ์เล่นที่สนุกอย่างที่ไม่เคยเล่นมากก่อน